วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หันมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว


ผมเป็นคนบ้านนอกธรรมดาที่เพิ่งพบความสุขจากการทำการเกษตรกรรม ขอแบ่งปันจุดเปลี่ยนของตัวเอง

ผมเองเพิ่งกลับมาสู่ภาคการเกษตรทั้งที่ไม่เคยคิดจะเป็น และไ่ม่คิดว่าจะเป็นอาชีพที่มีรายได้พอเลี้ยงตัวได้ จุดเปลี่ยนอยู่ สะกิดใจกับคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficient Economy) ก็เริ่มสนใจและศึกษามาเรื่อยๆ ลาออกจากบริษัทซอฟท์แวร์ต่างชาติแห่งนึง ตึกอื้อ จื่อ เหลียง พระราม 4 น่ะ รวมระยะเวลาที่จากบ้านนอกมาก็ร่วมๆ 20 ปี+ แล้ว ตอนลาออกยังไม่ได้คิดว่าจะมาทำเกษตรกรรม แต่คิดว่าถ้าไม่ทำกิจการส่วนตัว แล้วจะรายได้เหมือนเดิมได้ยังงัย ก็อยู่ว่างงานมาเกือบสองปี ก็มาลงทุนกิจการส่วนตัวจนได้ ซึ่งแน่นอนว่ารายได้ก็ได้หกหลักเหมือนกัน แต่ก็ได้คำตอบที่เป็นสัจธรรมอย่างนึงว่า ธุรกิจเล็กๆ ต่อให้วางระบบงานอย่างไร ก็ต้องบริหารเองอยู่ดี ไม่จบไม่สิ้น จนเมื่อกลางปี ก็ให้หุ้นส่วนรุ่นน้องบริหารกิจการต่อไป แบบให้เปล่าเลยก็ว่าได้ (ผลประกอบการ>หนี้ธุรกิจ)

เลยว่างอีกครั้งนึงคราวนี้ก็หันมาทำสิ่งที่เราสนใจเมื่อตอนเด็กๆ ซึ่งก็คือพวกคอมพิวเตอร์-อิเลคทรอนิคส์ ก็ออกแบบสร้างสินค้าขายต่างประเทศบ้าง ระหว่างนั้นน้องสาวเค้าก้อเบื่องานอยากกลับมาอยู่ที่บ้านนอก เนื่องจากว่าแม่ก็เริ่มอายุมากขึ้นแล้ว ก็ได้ใช้เวลาคิดทบทวน และไตร่ตรองอยู่นานว่าจะกลับไปทำอะไรที่บ้านนอก ตอนนั้นคิดได้สองเหตุผล คือ ได้ดูแลแม่ด้วย และก้อยังทำงานส่วนตัวได้เหมือนเดิม

หลังจากที่ปรึกษากับครอบครัว(ภรรยา) จนสรุปได้แล้วก้อเดินทางกลับมาอยู่บ้านนอกเมื่อเดือนกันยายนนี้เอง ต่อมามีญาติที่เค้าได้ไปอบรมเกษตรอินทรีย์ เค้าแวะมาเยี่ยมและก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เค้าไปประสบมา ก็สนใจส่งน้องสาวไปอบรม เพราะเค้าต้องการปลูกมะลิ ผมไปถึงศูนย์ฝึกอบรมได้เดินสำรวจทั้งแปลง สวน เอกสารต่างๆ ก้อพบว่าเป็นการทำเกษตรกรรมแบบแนวทางพอเพียง (ก็นึกสะกิดใจอีกครั้ง) แต่ที่ทำให้ผมตาสว่างจนต้องขอเข้าอบรมด้วย ก็คือ พระราชดำรัชของในหลวงของเรา นัยว่า "เราลืมรากฐานของเรา ที่เป็นเกษตรกรรม แล้วเราจะมั่นคงได้อย่างไร" ซึ่งก็เป็นจริงเพราะพื้นฐานของครอบครัวเดิมก็เป็นชาวนา/ชาวสวนแม้ว่าต่อมาจะผันมาเป็นการค้า

ตลอดระยะเวลาที่ฝึกอบรมก็ได้รู้จักการปลูกต้นไม้ ปลูกหญ้าแฝก และเรียนรู้ทักษะอีกหลายๆเรื่อง จนมั่นใจว่า หากตั้งทำการเกษตรกรรมด้วยสติปัญญา รู้จักการวางแผน รู้จักต้นไม้ และที่สำคัญ "เป็นเกษตรกรให้เป็น" รายได้ไม่น้อยกว่างานอื่นๆ แน่นอน แต่จะมีความยั่งยืน และมั่นคงมากกว่า

ระยะเวลาผ่านไปร่วม 1 เดือนกว่าๆ แล้วสำหรับงานด้านเกษตรกรรม พื้นที่สวนเดิมปลูกยางพาราไว้จำนวนมาก อายุเกือบ 4 ปี จากการสำรวจพบว่าหน้าดินค่อนข้างบางไปซักหน่อย อาจจะเนื่องจากการเพิ่งฉีดยากำจัดวัชพืชไว้ ก่อนไปอบรม ทำให้เวลาฝนตกจะเกิดเป็นร่องน้ำที่พัดพาหน้าดินลงมาด้วย ซึ่งทำให้เราต้องปลูกพืชพวกถั่ว ไว้คลุึมดิน และปรับปรุงดินไปในตัว โดยมีน้องสาวเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำ

บ้าน รอลงแปลงอยู่ ทำเท่าที่มีกำลังทำ
วางแผนกับน้องว่าปีหน้า จะหาไก่ไข่ กับวัวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนเวลาเข้าสวน (แต่คงต้องรอดอกมะลิบานก่อนนะ)
แล้วถ้าเราสามารถอยู่ได้โดยพึ่งพาตนเองได้ละก้อ คงจะขายบ้านในกรุงเทพ แล้วพาภรรยากลับมาอยู่บ้านนอกซะที

ส่วนผมจะรับมาจัดการแหล่งน้ำเพื่อใช้สำหรับพืช โดยต้องส่งน้ำจากคลองไปยังที่สูงบนภูเขา (ต่างระดับประมาณ 40 เมตร+) โดยเริ่มสร้างฝายสำหรับทดน้ำความสูง 1 เมตร แล้วสร้างตัวตะบันน้ำเพื่อส่งน้ำขึ้นไป ตอนนี้ไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทาง เนื่องจากปริมาณน้ำ/วันที่ส่งได้ ยังน้อยเกินไปสำหรับใช้งาน แต่ก้อสามารถส่งไปถึงส่วนของแปลงพืชต่างๆ

ต่อมาฝายก็พังเนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไปจากอิทธิพลของพายุ วันนี้เพิ่งจะได้ซ่อมและทำกันใหม่ แต่ตอนใกล้มืดฝายก็ล้มไปก่อนจะทำเสร็จ เด๋วเจอกันใหม่วันนี้ละครับ รอให้เ้ช้าก่อนเถอะ

สิ่งที่เราเรียนรู้มาในอดีต (การศึกษา) มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ใ้ช้ในการตัดสินว่าเราจะทำสิ่งใดได้ หรือไม่ได้ หากแต่การลงมือปฏิบัติแล้วนั่นแหละ จะบอกเราได้ว่าจะำทำได้ดี มากน้อยเพียงใด หากต้องตั้งใจ และอดทน จนกว่าต้นไม้จะให้ผลจากการลงมือทำ เชื่อมั่นว่าทำได้สำเร็จแน่นอนครับ

"คืนความสมบูรณ์สู่ดิน กินทีละคำ ทำทีละอย่าง ตามแต่กำลัง ลดการพึ่งพา หมั่นหาความรู้ ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และแบ่งปัน" เราดูแลต้นไม้ไม่กี่ปี แต่เขาจะดูแลเราและครอบครัวไปอีกตลอดชีวิตครับ


สราวุธ
Success is not destiny by journey.